
WATTANA PROMWONGSA

Bachelor of Education Program in Biology and General Science
ออร์แกเนลล์อื่นๆ
1. ไรโบโซม
2. เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม
3. กอลจิแอพพาราตัส (golgi apparatus)
4. ไลโซโซม (lysosome)
5. ไมโทคอนเดรีย (mitochondria)





1. ไรโบโซม

ภาพแสดง ไรโบโซมในไซโทพลาสซึม และที่เกาะบน ER
2. เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม

ภาพแสดง โครงสร้างเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม
โครงสร้างและหน้าที่
เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1) เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวเรียบ
ไม่มีไรโบโซม เกาะอยู่บนผิวของ ER
มีหน้าที่สร้างไขมัน อันได้แก่ ฟอสโฟลิปิด ฮอร์โมนเพศและสเตรอยด์ฮอร์โมน
เป็นที่สำหรับเก็บ Ca2+
มีหน้าที่ในขบวนการ เมแทบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต
มีเอนไซม์สำหรับทำลายพิษของยา
พบมากที่ ลูกอัณฑะ (teste) รังไข่ (ovary) และผิวหนัง (skin)
2) เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมแบบผิวขรุขระ
มีไรโบโซม เกาะอยู่บนผิวของเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม
เป็นที่สำหรับให้สายของโพลีเพปไทด์ ที่จะถูกส่งออกนอกเซลล์มีการพับ ไปสู่รูปร่าง 3 มิติ ที่ถูกต้องก่อนที่จะถูกส่งออกไปยังกอลจิแอพพาราตัส
เป็นที่สำหรับเติมคาร์โบไฮเดรต (โอลิโกแซคคาไรด์) ให้กับโปรตีนที่จะถูก ส่งออก นอกเซลล์ซึ่งก็คือไกลโคโปรตีน
โปรตีนที่จะออกจากเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม นั้นจะถูกห่อด้วย เยื่อหุ้มของ เอนโดพลาสมิกเรติคูลัมและกลายเป็นถุงเล็ก ๆ หลุดออกจากเอนโดพลาสมิกเรติคูลัม
3. กอลจิแอพพาราตัส (golgi apparatus)
ภาพแสดง โครงสร้างของกอลจิแอพาราตัส
ภาพแสดง การเคลื่อนที่ของสารจาก ER ออกนอกเซลล์โดย
ผ่านการสร้างเวซิเคิล (vesicle)ในกอลจิแอพาราตัส
โครงสร้าง
เป็นถุงแบน ๆ ที่วางซ้อน ๆ กันมีประมาณ 3 – 20 ถุง
แบ่งออกเป็น
1) ด้านที่อยู่ใกล้กับ ER (cis face) จะรับถุงบรรจุโปรตีนที่ส่งมาจาก ER
2) ด้านที่อยู่ห่างจาก ER( trans face) จะทำการส่งถุงบรรจุโปรตีนที่ส่งมาจากด้านที่อยู่ใกล้กับ ER ไปยังจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ในเซลล์
หน้าที่
เปรียบเสมือนโกดังเก็บสินค้าก่อนส่งออกโดยจะรับถุงบรรจุโปรตีนจาก ER แล้วมาตัดแต่ง ต่อเติม โปรตีนให้สมบูรณ์ จากนั้นจะทำการคัดเลือกโปรตีนที่มี โครงสร้างสมบูรณ์แล้วส่งไปยังจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ทั้งภายในเซลล์ ภายนอกเซลล์ และที่เยื่อหุ้มเซลล์
4. ไลโซโซม (lysosome)
ภาพแสดง การสร้างไลโซโซมจากกอลจิแอพาราตัส
โครงสร้าง
เป็นถุงที่บรรจุ เอนไซม์ไฮโดรไลซ์ (hydrolytic enzyme) สำหรับย่อยโปรตีน ไขมันพอลิแซคคาไรด์ และกรดนิวคลีอิก- pH ใน ไลโซโซม เท่ากับ 5 ซึ่ง เอนไซม์ไฮโดรไลซ์ ทำงานได้ดีที่สุดซึ่ง pH ในไซโทพลาสซึมเท่ากับ 7 - เอนไซม์ไฮโดรไลติก สร้างใน ER และส่งมายังไลโซโซมโดยผ่านทางกอลจิแอพพาราตัส
หน้าที่
1) การย่อยสลายภายในเซลล์ (intracellular digestion)
การโอบกลืน(phagocytosis) เช่น การย่อยเซลล์แบคทีเรียที่ถูกจับกินโดยเม็ดเลือดขาว
การย่อยสลาย แมคโครโมเลกุล (macromolecule)
การทำลาย ออร์แกเนลล์ ที่เสื่อมสภาพในเซลล์ (autophagy)
2) มีหน้าที่ใน กระบวนการทำลายเซลล์ที่หมดอายุหรือหน้าที่ (programmed destruction) เช่นในการเปลี่ยนรูปร่างของลูกอ๊อด เป็นกบ โดยไลโซโซมในเซลล์หาง ลูกอ๊อด จะทำลายส่วนหางให้หายไปขณะ เจริญเติบโตเป็นกบหรือ การหายไป ของพังผืด ระหว่างนิ้วมือของมนุษย์
5. ไมโทคอนเดรีย (mitochondria)
ภาพแสดง โครงสร้างไมโทคอนเดรีย
โครงสร้าง
มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 – 1.0 ไมโครเมตร ยาวประมาณ 1-10 ไมโครเมตร
ถูกหุ้มด้วยเยื่อหุ้ม 2 ชั้น
เยื่อหุ้มชั้นนอก (outer membrane ) มีลักษณะผิวเรียบ โมเลกุลขนาดเล็ก สามารถผ่านได้ แต่โมเลกุลขนาดใหญ่ไม่สามารถผ่านได้
เยื่อหุ้มชั้นใน (inner membrane) ผนังเยื่อหุ้มจะพับเป็นรอยจีบยื่นเข้าไปข้างในเรียกว่า คริสตี(cristae) ห่อหุ้มของเหลวที่เรียกว่า แมทริกซ์ (matrix)ไว้
ระหว่างเยื่อหุ้มชั้นใน และ เยื่อหุ้มชั้นนอก เรียกว่า ช่องว่างระหว่างเยื่อหุ้มเซลล์
(intermembrane space)
คริสตีและแมทริกส์มีเอนไซม์ สำหรับการหายใจระดับเซลล์ (cellular respiration)และ เป็นที่สังเคราะห์ ATP
มีไรโบโซม และDNAเป็นของตัวเอง
มีจำนวนเพียง 1 อัน หรือ เป็นหลาย ๆ พันในเซลล์ เช่น ในเซลล์ตับ จะมีไมโทคอนเดรียมากถึง 2,500อันต่อเซลล์
ไมโทคอนเดรียภายในเซลล์ปกติจะมีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงรูปร่าง และเพิ่ม จำนวนของตัวมันเอง
หน้าที่
เป็นที่สำหรับการหายใจระดับเซลล์ ซึ่งการหายใจระดับเซลล์ (cellular respiration) คือ กระบวนการที่พลังงานเคมีของ คาร์โบไฮเดรตถูกเปลี่ยน เป็น ATP ซึ่งเป็นตัวให้ พลังงานภายในเซลล์ ซึ่งสามารถเขียนเป็นสมการได้ดังนี้ C6H12O6 + O2 CO2 + H2O + พลังงาน